สิ้นเนื้อประดาตัว คลื่นถล่มพังยับเยิน บ้านทั้งหลังหายวับไปกับตา ชาวบ้านปาดน้ำตา เก็บเงินมาทั้งชีวิต ตอนนี้ไม่มีที่อยู่แล้ว

วันที่ 18 ก.ย.67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านมดตะนอย หมู่ 3 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง พร้อมด้วย นายณัฐวัฒน์ ทะเลลึก หรือผู้ใหญ่คาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 เจ้าหน้าที่จาก อบต.เกาะลิบง หลังจากเกิดเหตุคลื่นทะเลสูง 3-4 เมตร รวมทั้งลมแรงซัดถล่มบ้านเรือนชาวบ้านริมทะเล ที่ส่วนใหญ่มีเอกสารสิทธิ์ เช่น ส.ค.1 , น.ส.3 เสียหายไปทั้งหมด 15 หลัง แบ่งเป็นเสียหายพังลงไปทั้งหลัง 8 หลัง เสียหายบางส่วน 7 หลัง โดยพบเห็นสภาพมีเศษซากปรักหักพังกระจายทั่วพื้นที่ ข้าวของทรัพย์สินบางส่วนที่ขนย้ายไม่ทันกระจายอยู่

ส่วนบ้านที่พังบางส่วนและจ่อที่จะถูกคลื่นซัดอีกนั้น ชาวบ้านอยู่กันอย่างผวาและหวาดระแวง พร้อมทั้งได้ย้ายคนในครอบครัวและทรัพย์สินออก และต่างช่วยกันเก็บและถอดโครงสร้างบ้านเพื่อเก็บไว้ใช้ต่อในภายภาคหน้า ขณะเดียวกันตลอดชายหาด ต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มลงมาอีกหลายต้น โดยมี อบต.เกาะลิบง ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้เข้ามาช่วยเหลือเบื้องต้น

นายอนุพงษ์ เต็มโคตร อายุ 39 ปี ชาวบ้าน กล่าวว่า คลื่นสูงกว่า 3-4 เมตร ได้ซัดขึ้นมาในวันนี้รุนแรงมากในรอบ 10 กว่าปี ครั้งนี้ภายในวันเดียวทำให้บ้าน 10 กว่าหลังคาเรือนต้องพังถล่มลงทันที และที่รอคิวจะถล่มซ้ำอีกหลายหลัง และในพรุ่งนี้ (19 ก.ย.)น้ำทะเลหนุน คลื่นจะสูงหนักและแรงกว่าวันนี้เสียอีก ตนไม่ขออะไรมาก ขอแค่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือเพราะเดือดร้อนจริงๆ ไฟไหม้บ้าน ยังมีที่อยู่ แต่คลื่นซัดหมดไปทั้งบ้านทั้งที่ดิน ไม่มีที่จะอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนบ้านพัง ต้องไปขออาศัยบ้านญาติพี่น้องอยู่ บางรายก็ไปเช่าบ้านอยู่อาศัย

บอกตรงๆ ต่างก็ไร้ที่อยู่ สิ้นเนื้อประดาตัว บางหลังก็เก็บข้าวของทัน บางหลังก็เก็บไม่ทัน เพราะคลื่นมาเร็วมาก เพียงแค่วันเดียวคลื่นได้ซัดที่ดินบนฝั่งลงไปกลายเป็นทะเลเข้ามาไม่ต่ำกว่า 20 เมตร ขอให้รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลช่วยเหลือในเรื่อง 1.ที่ดินที่จะไปอยู่อาศัยใหม่ 2.เงินสร้างบ้าน แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับตน คนจนเหมือนตนไม่มีอะไรเยอะมีเงินเก็บ 1 ก้อนไว้สร้างบ้าน แต่สุดท้ายบ้านหายไปกับสายน้ำ ได้แต่เพียงร้องไห้ น้ำตาแห้งไม่เหลือที่จะร้องแล้ว อธิบายความรู้สึกเป็นคำพูดไม่ได้ เสียใจที่เราทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นภัยธรรมชาติ มีเพียงแค่น้ำใจเท่านั้นที่จะเข้ามาช่วยได้

ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บอกจะเข้ามาทำพนังป้องกันคลื่น แต่ต้องรออนุมัติงบกว่า 4 ปี แต่ชาวบ้านรอไม่ได้ นี่ขนาดปีเดียวบ้านหายไปขนาดนี้ 4 ปี จะเหลืออะไรให้ชาวบ้านอยู่ นี่แค่ 1-2 ปี ทะเลซัดเข้ามาเกือบจะถึงถนนในหมู่บ้านแล้ว ในอดีตเลยผืนดินเดิม อยู่เข้าไปในทะเล ณ ปัจจุบันนี้ประมาณ 100 กว่าเมตรที่คลื่นทะเลได้ซัดเข้ามาในห้วงระยะเวลาประมาณเกือบ 10 ปี ที่ผ่านมาทะเลกัดเข้ามาทีละนิด แต่ช่วงหลังนี้กัดเข้ามาเยอะมาก และบ้านที่พังถล่มไปในทะเลในอดีตก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้กว่า 20 หลังคาเรือนมาแล้ว ซึ่งยอมรับว่าคลื่นรุนแรงทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ หากไม่มีการป้องกัน และภาครัฐช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้

ด้าน นางวลัยพร ติ้งเก็บ อายุ 45 ปี ชาวบ้าน กล่าวว่า ต้องการให้ทางภาครัฐ หน่วยงานด้านบน ลงมาดูบ้างว่าพวกเราลำบากกันยังไง อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องการให้จัดหาที่อยู่ใหม่ให้ คนที่อาศัยบ้านที่ได้พังลงไปในวันนี้ จะหาที่อยู่ใหม่ก็หากันแทบไม่ได้เลย บางครอบครัวที่ไปเช่าบ้าน ก็ต้องเอาครอบครัวอื่นไปอยู่ชั่วคราวด้วย ก็เท่ากับว่าบ้านเช่า 1 หลังต้องอยู่กัน 3-4 ครอบครัว ต้องช่วยๆ กันไปก่อนเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่มีที่จะอยู่ มูลค่าความเสียหายบ้านแต่ละหลังราคาประมาณ 2-4 แสนบาท

กว่าจะปลูกสร้างขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาเกือบชั่วชีวิต และไม่รู้เมื่อไรจะหาเงินจากไหนมาสร้างใหม่ได้อีก บอกความรู้สึกไม่ถูกเลย มันจะร้อง พูดอะไรไม่ออก จุกในอก นึกถึงก็ไห้ออกมา ทรัพย์สินก็พอจะเก็บทันบ้าง ที่ไม่ทันก็ต้องปล่อยไป หลายหลังจ่อจะพังอีก ปัญหาที่หนักๆก็ 2-3 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้พร้อมมากถ้ามีการจัดหาที่ให้อยู่ใหม่ ถ้าเร่งรัดได้ยิ่งดี อีกอย่างกระทบกับการงานมากเลย แทบไม่ได้ทำงานกัน ข้าวสารก็แทบจะไม่มีเงินซื้อ

ส่วน นายณัฐวัฒน์ ทะเลลึก ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวว่า ที่สำรวจพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ อบต.เกาะลิบง มีบ้านเสียหาย 15 หลัง พังทั้งหลัง 8 หลัง พังบางส่วน 7 หลัง คิดว่าคลื่นจะรุนแรงขึ้นกว่านี้อีก ปัญหาเรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่ปี 2561 เริ่มกัดเซาะมาทีละนิด แต่มาถึงปัจจุบันนี้หลักขึ้นมาก ครั้งนี้หนักสุดตั้งแต่ตนจำความได้ที่เสียหายเยอะขนาดนี้ ซึ่งชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากได้ที่อยู่อาศัยใหม่ เพราะชุมชนนี้เป็นชุมชนแออัด อยากฝากไปยังรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล กำหนดพื้นที่ขยายให้ชาวบ้านได้อยู่อาศัย เพราะตอนนี้ประชากรในชุมชนมดตะนอยมีอยู่ 367 ครัวเรือนประชากร 1,100 กว่าคน ซึ่งยังไม่รวมประชากรที่อยู่รวมกันในครอบครัวเดียว

และชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบวันนี้ประมาณ 50-60 คน ขณะนี้ตนก็ได้ประสานไปยังนายอำเภอ ไปยังผู้ว่าฯ และทาง อบต.เกาะลิบงก็เข้ามาดูแลช่วยเหลือชาวบ้าน และบ้านที่พังทั้งหลัง และพังบางส่วนในเบื้องต้นแล้ว ส่วนแผนระยะยาวหากไม่มีการก่อสร้างพนังกั้นคลื่น หรือย้ายคนออกไป ตนมองว่า 4-5 ปีข้างหน้า หากไม่มีการเข้ามาแก้ไข ชุมชนตรงนี้ตนมองว่าอาจจะกลายเป็นทะเลไปทั้งหมด และเคยมีโครงการของโยธาธิการและผังเมือง ที่จะทำเขื่อนพนังป้องกันคลื่น แต่ก็เงียบหายไป จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูแลตรงนี้ด้วย