ทนมา10ปี จนต้องพึ่งยา เพื่อนบ้าน เลี้ยงหมาจรขนาบ2ข้าง เห่าดังสนั่น
ทนมา 10 ปี ต้องพึ่งยานอนหลับ เพื่อนบ้าน เลี้ยงสุนัขจรขนาบ 2 ข้าง เห่าดังสนั่น สุดช้ำ ครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะขายบ้านหนี ลดราคาให้เป็นล้านยังไม่มีใครซื้อ
วันที่ 10 พ.ค.2567 นายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ กล้าที่จะก้าว ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก นางสุภาศรี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี และ นายไพรัช (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี สองสามีภรรยา เจ้าของบ้านพักในหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่ง ถนนรัตนาธิเบศร์ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี
หลังจากถูกเพื่อนบ้านทั้งซ้ายและขวานำสุนัขจรมาเลี้ยงรวมกันบ้านละหลายตัว ทำให้สุนัขทั้ง 2 หลังผลัดกันส่งเสียงเห่าหอนรบกวนการพักผ่อนของสองสามีภรรยาเป็นอย่างมาก ทั้งกลางวันและกลางคืน จนนางสุภาศรีต้องพึ่งยานอนหลับ ยาระงับประสาท และยาคลายเครียดในแต่วันเพื่อให้นอนหลับ
ทนมา 10 ปี ต้องพึ่งยานอนหลับ เพื่อนบ้าน เลี้ยงสุนัขจรขนาบ 2 ข้าง เห่ารับดังสนั่น สุดช้ำ ครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะขายบ้านหนี ลดราคาให้เป็นล้านยังไม่มีใครซื้อ
โดยที่ผ่านมาสองสามีภรรยาจะพยายามส่งเรื่องร้องเรียนพร้อมหลักฐานต่าง ๆ ไปยังนิติบุคคลหมู่บ้าน หน่วยงานท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งไปแจ้งความ แต่เรื่องราวกับปัญหาที่เกิดขึ้นก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขใด ๆ มานานนับ 10 ปี จึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือจากทางเพจกล้าที่จะก้าว
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า บ้านของสองสามีภรรยาเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งอยู่ตรงกลางถูกขนาบด้านข้างทั้งด้านซ้ายและขวา สังเกตโดยรอบบ้านมีการติดตั้งแนวกำแพงด้านข้างทั้งสองฝั่ง
นอกจากนี้ ประตูรั้วทำเป็นแบบทึบไม่สามารถมองเข้าไปด้านในบ้านได้ ส่วนในตัวบ้านหน้าต่างทุกบานถูกปิด พื้นบ้านปูทับด้วยกระเบื้องยาง โต๊ะเก้าอี้ติดแผ่นกันเสียงที่ขาทุกตัว โดยสองสามีภรรยาให้เหตุผลว่า เพื่อป้องกันเสียงดัง เพราะหากบ้านตนมีเสียงอะไรขึ้นมา สุนัขของเพื่อนบ้านทั้ง 2 หลังจะแข่งกันเห่าหอนทันที
นางสุภาศรี ได้นำหลักฐานทั้งคลิปเสียงและภาพสุนัขเห่าในแต่ละครั้งมาเปิดให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับหลักฐานที่ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปที่เทศบาลเมืองไทรม้า หลักฐานการแจ้งนิติบุคคล รวมยาชนิดต่าง ๆ ที่ต้องกินวันละ 11 เม็ดทุกวัน ซึ่งเป็นผลมาจากการนอนไม่หลับ จนเกิดความเครียดและทำให้ความดันสูงถึง 200
นางสุภาศรี กล่าวว่า ตนซื้อบ้านหลังนี้อาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปีแล้ว ในซอยนี้มีบ้านทั้งหมด 8 หลัง 1 หลังไม่มีคนอยู่ ที่เหลือท้ายซอย 4 หลังทุกวันต้องมีไรเดอร์มาส่งของพอขับผ่านหน้าบ้านตนสุนัขของเพื่อนบ้านทั้ง 2 หลังก็เห่า โดยเห่ากันไปมารับกันตลอด ร้องเรียนไปที่เทศบาลก็ไม่เป็นผล บอกว่ากฎหมายใช้ไม่ได้กับสุนัข ต้องเป็นเรื่องคนต่อคน ไม่ใช่คนกับหมา
นางสุภาศรี กล่าวต่อว่า ทำให้ตนต้องทนตกอยู่ในสภาพนี้มานานนับ 10 ปี เพื่อนบ้านไม่เคยห้ามหรือควบคุมไม่ให้สุนัขเห่าส่งเสียงรบกวนได้ รปภ.ก็ไม่กล้าขับรถเข้ามาเพราะจะทำให้สุนัขทั้งสองหลังเห่ารับกันในทันที
นางสุภาศรี กล่าวอีกว่า หลังตนพยายามส่งเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือไปยังที่ต่าง ๆ มากมายแต่ไม่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานที่จะลงมาแก้ไข จนทำให้ตอนนี้เริ่มป่วยจากการถูกรบกวนด้วยเสียงสุนัขที่เห่าในแต่ละวัน จนแพทย์ต้องสั่งให้ตนหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนเหล่านี้ให้ได้ เพราะเป็นสิ่งกระตุ้นจนทำให้นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
นางสุภาศรี กล่าวว่า จิตวิตกจริตต้องตื่นกลางดึก ความดันสูงขึ้นถึง 200 จนตอนนี้ตนต้องกินยาถึง 4 ตัว เพราะถ้าสุนัขเริ่มเห่าเมื่อไรความดันก็จะขึ้นสูงทันที ส่วนลูกชายของตนก็นอนไม่ได้ต้องใส่หูฟังเปิดเพลงกลบตลอดเวลานอน ลูกชายคนเล็กย้ายไปอยู่คอนโดกับพ่อเขาแทน
เจ้าของบ้าน กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ในบ้านของตนต้องปิดประตูหน้าต่างมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไปเพราะจะทำให้สุนัขของเพื่อนบ้านเห่าทันที จากตัวหนึ่งก็จะเพิ่มตามมาอีก 3-4 ตัว พอสุนัขหลังนี้เห่า สุนัขของเพื่อนบ้านอีกหลังก็เห่ารับตามมาอีก 3-4 ตัว เช่นกัน จากนั้นก็แข่งกันเห่าหอนไม่หยุด โดยที่เจ้าของสุนัขก็ไม่ได้ห้ามปรามสุนัขของตัวเองที่ส่งเสียงดังรบกวนเลย
“ทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจว่า บ้านตนไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย แต่ทำไมต้องปิดบ้านมิดชิด เปิดประตูหน้าต่างไม่ได้ เป็นแบบนี้มา 10 ปีแล้ว อยากได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ เพื่อให้ครอบครัวกลับมาอยู่รวมกันที่บ้านหลังนี้ได้” นางสุภาศรี กล่าว
นางสุภาศรี กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้ตนสงสารลูก และครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน อยากปกป้องสิทธิ์ของครอบครัวตน เคยตัดสินใจลงประกาศขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว 2 ครั้งแต่ก็ล้มเหลวหมดทั้ง 2 ครั้ง จากเสียงสุนัขของเพื่อนบ้านที่ช่วยกันเห่า
นางสุภาศรี กล่าวว่า โดยครั้งแรกเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน หลังจากตกลงราคาซื้อขายกันแล้ว เขาลองขี่จักรยานเพื่อจะมาดูบ้าน แต่ก็ถูกสุนัขเพื่อนบ้านเห่ากระโชกเสียงดังใส่ จนทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่ซื้อ เพราะเกรงว่าจะมามีปัญหากับเพื่อนบ้านแทน
นางสุภาศรี กล่าวต่อว่า ส่วนอีกรายโทรศัพท์มาสอบถามเพื่อจะซื้อขายกันอยู่ ปรากฏว่าได้ยินเสียงสุนัขเพื่อนบ้านเห่ากระโชกอย่างหนัก จนเขาถามว่าที่บ้านตนเลี้ยงสุนัขกี่ตัว เมื่อตนตอบว่าไม่ได้เลี้ยงแต่เป็นเสียงของสุนัขเพื่อนบ้าน เขาก็เปลี่ยนใจไม่ซื้อต่อทันที แม้ตนจะยอมลดราคาขายบ้านลงให้อีกล้านกว่าบ้านก็ตาม
ด้าน นายอธิวัฒน์ สิริกังวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจกล้าที่จะก้าว กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่พบว่าผู้ร้องได้รับความเดือนร้อนจากเพื่อนบ้านทั้งสองหลังจริง ทางตนจะพาผู้ร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ตรวจสอบว่ามีข้อกฎหมายข้อไหนสามารถช่วยเหลือผู้ร้องรายนี้ที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการแก้ไขต่อไป