หนุ่มโต้กลับ ยอมรับโพสต์ขู่-ใช้คำพูดแรง ลั่นด่าทุกคนที่จอด บ้านอยู่ในสุดเข้า-ออกไม่ได้
หนุ่มโต้กลับ ยอมรับโพสต์ขู่-ใช้คำพูดแรง ขอโทษไปแล้ว เผยตัวเองคือผู้ประสบภัย ลั่นด่าทุกคนที่จอด เพราะบ้านอยู่ในสุดเข้า-ออกไม่ได้ หวั่นแม่อาการป่วยกำเริบแล้วพาไปรพ.ไม่ทัน
กรณี นายศิลา อายุ 53 ปี หวั่นไม่ปลอดภัยหลัง จอดรถหน้าบ้านตัวเอง โดนด่า โดนขู่ เผยอยู่มา 12 ปี เพิ่งจอดครั้งแรก เหตุเพราะถอยรถเข้าจอดในบ้านไม่ได้ เนื่องจากมีรถจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านหลายคัน งงคนทั้งซอยจอดได้ ทำไมตัวเองถึงจอดไม่ได้ เหตุเกิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในซอยวัดลาดปลาดุก จ.นนทบุรี
ต่อมา ‘ข่าวสดออนไลน์’ ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับ นายอุย อายุ 48 ปี คู่กรณี นายศิลา และเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ด้านในสุด เผยว่า คืนเกิดเหตุวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณเกือบห้าทุ่ม ตนขี่รถจักรยานยนต์กลับมาที่บ้าน ก็เห็นว่าภายในซอยบ้านมีรถจอดอยู่หน้าบ้านทั้งสองฝั่ง ซึ่งทำให้บ้านของตนและคนที่อยู่ด้านในสุดไม่สามารถขับรถใหญ่เข้าออกได้เลย ขับได้เพียงแค่มอเตอร์ไซค์เท่านั้น
ทำให้ตนรู้สึกโมโห เพราะคิดว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมา แล้วคนอยู่ด้านในสุด จะออกยังไง ตนจึงเดินไปที่หน้าบ้านของอีกฝ่ายแล้วก็อัดคลิปต่อว่า ก่อนจะโพสต์ลงเฟซบุ๊กด้วยความโกรธ ประกอบกับก่อนหน้านี้เห็น เฟซบุ๊กของอีกฝ่ายโพสต์แขวะเรื่องที่จอดรถด้วย ก็เลยทำให้โกรธมากขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นวันต่อมาก็ได้พูดคุยกับอีกฝ่ายผ่านโทรเฟส ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ ตนพยายามบอกว่า ถ้าหากคุณจอดรถหน้าบ้านแบบนี้ คนอื่นก็มาจอดกันหมด แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายพยายามพูดกดดันตน พูดทำนองว่า ตนเจาะจงที่จะต่อว่าเขาคนเดียว ในตอนนั้นเห็นว่า คุยกันไม่ได้และตรงนี้ก็เริ่มโมโหแล้วจึงบอกอีกฝ่ายไปว่า เดี๋ยวค่อยคุยกันได้ไหม เพราะตนโมโหมาก
จริงๆแล้ว ตนคือ ผู้ประสบภัยที่สาม เนื่องจากบ้านของตนอยู่ในสวน ถ้าหากเอารถมาจอดหน้าบ้านกันแบบนี้ เวลาเกิดเหตุอะไรมันก็ลำบาก อย่างกรณีของตนแม่เคยมีอาการสโตรกขึ้นมา ก็ทำให้พาไปหาหมอลำบากมาก ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ด่าทุกคนที่เอารถมาจอดหน้าบ้านว่า เห็นแก่ตัวตลอด ไม่ได้ด่าแค่เขาคนเดียว
ส่วนประเด็นที่ตนต่อว่าอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เรื่องนี้ตนยอมรับว่าตนผิดจริง เนื่องจากตนโมโหมาก แล้วก็ได้ขอโทษอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนหลังจากนี้อีกฝ่ายจะแจ้งความดำเนินคดีอะไรตน ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นของวันนี้ (2 ก.ย.) ก็จะมีการไปเจรจากับอีกฝ่าย เพื่อหาทางออกร่วมกัน