แม่ไร้หนทาง ทำกรงขังในบ้าน หลังลูกคลั่งยาขับรถชน แถมขู่ฆ่า บำบัดนับ 10 ครั้งไม่หายกลับสู่วังวนเดิม จนพ่อตรอมใจตาย จำใจทำกรงขังเพื่อความปลอดภัยของชาวบ้านด้วย

วันที่ 4 พ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสารภี (สงวนนามสกุล) อายุ 64 ปี อดีตข้าราชการครูเกษียณ ชาว จ.บุรีรัมย์ จ้างช่างมาทำห้องคล้ายกรงขังในบ้าน พร้อมติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งไวไฟ ทีวี ห้องน้ำส่วนตัว และติดกล้องวงจรปิด ให้ นายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 42 ปี ลูกชายที่ติดยาเสพติด และมีอาการคลุ้มคลั่งอยู่ในห้องดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของแม่ และชาวบ้านในหมู่บ้าน

นางสารภี กล่าวว่า ตอนนี้ลูกชายอายุ 42 ปี เริ่มติดยาเสพติดตั้งแต่อายุ 16 ปี ตนและสามีส่งตัวบำบัดรักษามาตลอด แต่ออกมาก็ไปเสพยาอีก อีกทั้งยังติดพนันออนไลน์ สามีก็พยายามหางานให้ลูกทำได้เงินมาก็เอาไปซื้อยาบ้าเสพ เล่นพนันหมด แล้วชอบขู่บังคับขอเงินพ่อแม่ครั้งละ 100-200 บาท บางวันขอ 3 รอบทั้งเช้า เที่ยง เย็น กระทั่งเมื่อปี 2558 พ่อป่วยหนักทั้งเครียดเรื่องลูกจนตรอมใจตาย

แต่ลูกก็ยังเสพยาเล่นพนันเรื่อยมา ไม่ทำงาน ลูกเคยมีลูกเมียแต่เขาก็ทนอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะที่ผ่านถึงขั้นใช้ปืนยิงขู่ ขับรถพุ่งชนบ้านพัง ตนก็ต้องแจ้งจับ แต่ออกมาก็ไม่สำนึกยังทำตัวเหมือนเดิม

ไม่รู้จะทำยังไงคนเป็นแม่ทั้งรักและเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกเลิกยาเสพติดกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ก็หมดหนทางจำใจจ้างช่างมาทำห้องคล้ายกรงขัง เพื่ออยากให้ลูกหาย ลูกอยากได้อะไร อยากกินอะไรก็จะหาให้ ขอแค่ไม่ให้ออกไปเสพยา เล่นพนันอีก ก็รู้ว่าผิดกฎหมายแต่หมดหนทางจริง ๆ ก็ยังรอฟังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าทำได้หรือไม่หากไม่ได้จะแก้ปัญหายังไงก็ยังไม่รู้

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 67 ลูกหลอนยาคลุ้มคลั่งอาละวาด ตนจึงแจ้งเจ้าหน้าที่มานำตัวส่งบำบัดที่ รพ.นางรอง แต่กลัวว่าหากออกมาก็จะกลับไปเสพยาบ้าอีก เพราะที่ผ่านมาเคยแจ้งจับกรณีขับรถชนบ้านพัง แจ้งให้นำตัวส่งบำบัด ทั้งที่ค่ายทหาร รพ. และวัดมากกว่า 10 ครั้ง แต่พอเริ่มดีขึ้นถูกปล่อยออกมาอยู่บ้าน ก็กลับสู่วังวนเดิม ทำให้ตนต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงและทุกข์ใจ

ทั้งนี้ อยากฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่า อยากให้ปราบปรามยาเสพติด การพนันออนไลน์ และอบายมุขทุกประเภท ซึ่งเป็นต้นเหตุของการทำลายเยาวชนของชาติ เพราะเชื่อว่ามีหลายครอบครัวที่ประสบชะตากรรมเหมือนตนเอง แต่ทำอะไรไม่ได้

ด้าน นายพลวัฒน์ สงกูล ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เขาอาศัยอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่หลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ แม่ซึ่งเป็นครูก็เคยมาแจ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกชาย และก็มีการส่งบำบัดอยู่ 2 ครั้ง ส่วนกรณีที่แม่จ้างช่างไปทำห้องลักษณะคล้ายกรงขัง เพื่อเตรียมไว้ให้ลูกชายซึ่งปัจจุบันบำบัดที่ รพ.ไปอยู่นั้น

ตนก็ได้ยินข่าวอยู่แต่ยังไม่ได้เดินทางไปดูว่าเขาทำลักษณะไหนบ้าง แต่จะทำได้หรือไม่ก็ต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ ว่าสามารถทำได้หรือไม่ เพราะอาจเข้าข่ายการกักขังหน่วงเหนี่ยว ส่วนตัวเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่แต่การจะทำอะไรก็ไม่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งก็จะได้รายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อเข้าไปตรวจสอบและพิจารณาอีกครั้งว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร